เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม จากงานศพ “เจ้าพ่อกระทิงแดง”
บันทึกโดย หนุ่มเมืองจันท์
วันก่อน นัดทานข้าวกับ “พี่อู๊ด” นักธุรกิจใหญ่ด้านประกันภัย และเพื่อนพ้องน้องพี่ “พี่อู๊ด” เพิ่งไปงานศพของ “เฉลียว อยู่วิทยา” เจ้าพ่อกระทิงแดงที่วัดเครือวัลย์วรวิหาร งานศพของ “มหาเศรษฐีแสนล้าน” ที่สุดแสนจะเรียบง่าย
เป็นที่รู้กันว่า “เฉลียว” นั้นเป็นคนที่ใช้ชีวิตสมถะมาก ทั้งที่ร่ำรวยมหาศาล เขาใส่เสื้อผ้าง่าย ๆ ไม่ใช้ของแพง ไม่ออกงาน มีความสุขอยู่กับการทำงาน อยู่กับโรงงาน แต่ในวันที่เขามีชีวิตอยู่ เรื่องเหล่านี้คือเรื่องที่เล่าขานต่อ ๆ กันมา เพราะ “เฉลียว” ไม่ยอมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ภาพความเรียบง่ายของ “เฉลียว” จึงปรากฏให้สาธารณชนได้รับรู้
“เฉลียว” สั่งเสียลูก ๆ ไว้แล้วว่าให้จัดงานศพแบบเรียบง่าย รบกวนคนให้น้อยที่สุด ตอนแรกจะจัดงานศพแค่ 3 วัน แต่หุ้นส่วนใหญ่ที่ต่างประเทศเดินทางมาไม่ทัน จึงขยายเวลาเป็น 7 วัน
“เฉลียว” บอกลูกหลานให้เป็นเจ้าภาพเพียงคนเดียว ไม่รับ “เจ้าภาพร่วม” จัดงานที่วัดเล็ก ๆ ใกล้ที่ทำงาน พนักงานจะได้เดินทางสะดวก เงินที่แขกช่วยงานศพทั้งหมดบริจาคให้กับวัด
“พี่อู๊ด” เล่าว่าไปงานศพผู้ใหญ่หลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาเรื่องหาที่นั่งไม่ได้ หรือต้องไปนั่งกับคนที่ไม่คุ้นเคย ครั้งหนึ่งไปงานศพคุณแม่ของนายแบงก์ พอไปถึงกลับไม่มีที่นั่ง แขกต้องยืนรอ
จนเจ้าภาพต้องประกาศผ่านทางไมโครโฟนให้พนักงานของบริษัทสละที่นั่งให้แขกด้วย แต่….งานนี้ ลูกหลาน “อยู่วิทยา” ทั้งหมดยืนเป็นแถวรอรับแขกอยู่หน้างาน แขกของใครมา เขาก็จะเดินมารับและพาไปนั่งในกลุ่มคนที่คุ้นเคย จากนั้นค่อยกลับไปยืนรอแขกต่อ
แต่ที่ประทับใจที่สุด ก็คือ การดูแล “คนขับรถ” จะมีเจ้าหน้าที่ของ “กระทิงแดง” เดินมาถามคนขับรถว่ามางานนี้หรือครับ จากนั้นจะชี้ทางไปที่จอดรถ และยื่นกล่องอาหารว่างของ “เอสแอนด์พี” และน้ำดื่มให้คนขับพร้อมกับของที่ระลึก งานศพนั้นจัดช่วงเย็น บางทีคนขับรถอาจจะหิว ยิ่งงานใหญ่ คนเยอะ หาของกินก็ยาก การเตรียมอาหารว่างให้ “คนตัวเล็ก” อย่างคนขับรถ แสดงถึงความใส่ใจของครอบครัว “อยู่วิทยา”
นี่คือ เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม
มี “ผู้ใหญ่” หลายคนที่เราเคารพเพราะ “เรื่องเล็กๆ” แบบนี้ อย่างผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทุกครั้งที่มีงาน หรือต้องรับรองคนใหญ่คนโต นอกจากสอบถามลูกน้องเรื่องอาหารการกินและการดูแล “แขก” แล้ว
เขาต้องถามเรื่องความสะอาดของห้องน้ำ และประโยคหนึ่งที่ติดปากผู้ใหญ่คนนี้ก็คือ “อย่าลืมดูแลคนขับรถ และ ผู้ติดตามด้วยนะ”
บางครั้งความยิ่งใหญ่ของคนเราที่อยู่ในใจคน ไม่ใช่ขนาดของ “อาณาจักรธุรกิจ” ไม่ใช่ฐานะความร่ำรวย
แต่…เป็นเรื่องการใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ ของ “คนตัวเล็ก” ที่เขาไม่เคยคิดว่า “คนตัวใหญ่” จะมองเห็น
สังเกต “ต้นไม้ใหญ่” ไหมครับ เวลาพูดถึง “ต้นไม้ใหญ่” ที่เราชอบ ต้นไม้ต้นนั้นจะไม่ใช่ต้นไม้ที่ “สูง” ที่สุด แต่เป็นต้นไม้ที่แผ่ “กว้าง” ที่สุด ไม่มีใครนึกถึงต้นไม้ใหญ่ที่เป็นต้นอโศก หรือต้นสนที่สูงลิบลิ่ว
แต่มักจะนึกถึงต้นจามจุรี หรือต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ต้องสูงมาก ทว่า แผ่กว้างให้ร่มเงากับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ไม่เลือกว่าเป็นใคร ไม่ดูชื่อ ไม่ดูนามสกุล ไม่ดูฐานะ ใครผ่านมาก็ร่มเย็นทุกคน
สิ่งที่เราจดจำต้นไม้ใหญ่จึงไม่ใช่ “ความสูงส่ง” แต่กลับเป็น “ความกว้าง”
คงเหมือนกับ “คน” ช่วงหนุ่มสาว เราอาจคิดเหยียดกายให้สูงที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราต้องรู้จักแผ่กิ่งก้านเพื่อให้ร่มเงาแก่คนอื่น เพื่อให้คนจดจำในวันที่ร่วงโรย
Credit : หนุ่มเมืองจันท์ | คอลัมน์ ฟาสต์ฟู้ด ธุรกิจ – มติชนสุดสัปดาห์ 30 มี.ค. 2555
คิดแบบนี้…ถึงรวย
คนรวยแล้วยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย คุณเคยสงสัยไหมว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออมขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล เรียกว่าทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น Fundamentals ฉบับนี้ จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไรถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง
ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน “เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง” เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงินและแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร
O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเองไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไรก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้านเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เจริญ สิริวัฒนภักดี” หรือ “เฉลียว อยู่วิทยา” ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ่มต้นจากศูนย์และสองมือ เปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย
กรณีของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยาและทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง
O มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก
กว่าจะมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้ “บิล เกตส์” เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์จะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดหาช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี
หรือแม้กระทั่ง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน
O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น
คนจนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงทุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือจะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก
ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็กคนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้าง ทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆ ที่อาจจะขายแฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่าเขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่าคอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้ คน เมื่ออ่านเกมขาดเขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับ คอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค
คนจนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัวหยุดพวกเขาไม่ได้
O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ
ลองสังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามักไม่ค่อยพอใจ เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับ บัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน
O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก
โดยมากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง
O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา
อาจจะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำเรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็วในการทำธุรกิจ
O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เช่นกรณีของเฉลียวที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ
ข้อนี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือนประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ
O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น
คนรวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญเขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็นและมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี คำว่าบริหารเงินได้ดีอาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการกระจายไปในหุ้น หลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้
ส่วนการใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ
O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน
คนจนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมาพวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกันจริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงินและเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คนจนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด
O คนรวยแล้วจะยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที่เพิ่งรวย ถ้าจะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่างเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ
ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิตความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไป บริจาค
ทั้งหมดที่ว่านี้คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง
ทีมา => http://variety.teenee.com/foodforbrain/69118.html