ประสงค์ อานมณี ผกก.สส.บก.น.8 และพ.ต.อ.ภูวนาถ ฤทธาเวช ผกก.สน.บางมด ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมสองผู้ต้องหาวิ่งราวทรัพย์ภายในธนาคารธนชาต สาขาถนนพระราม 2 (ซอย3) เลขที่ 54/9-12 แขวงบางมด เขตจอมทอง กทม. ซึ่งได้เงินสดจำนวน 420,000 บาท ก่อนจะพากันขึ้นรถแท็กซี่ สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทษ 458 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไป ทราบชื่อต่อมาคือนายสรกฤช หรือบูรณ์ แซ่จิว อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/3 หมู่ 15 ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และนายอภิธัญญ์ หรือดำ ห่วงเอี่ยม อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 246 ถนนจอมทอง แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กทม. พร้อมของกลางเงินสด จำนวน 219,000 บาท กระเป๋าเป้สะพายสีดำ จำนวน 1 ใบ กระเป๋าสตางค์ จำนวน 1 ใบ เสื้อแจ็คเก็ต จำนวน 2 ตัว และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
พล.ต.ต.ฤชากร กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 13.45 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายบุกก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ ภายในธนาคารดังกล่าว ก่อนขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีโดยใช้เส้นทางถนนพระราม 2 ขาออก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวนายประทีป เจนเขตรการ อายุ 29 ปี ชาว จ.อุทัยธานี โชว์เฟอร์แท็กซี่คันดังกล่าว มาสอบสวนจนทราบว่า สองคนร้ายได้จ้างวานให้ไปส่งที่หน้าร้านอาบอบนวด ชื่อไอด้า ถนนพระราม 3 โดยใช้เส้นทางขึ้นด่วนพระราม 2 หลังจากได้ข้อมูลทางฝ่ายสืบสวนกก.สส.บก.น. 8 และฝ่ายสืบสวน สน.บางมด จึงร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่หลบหนี กระทั่งได้เบาะแสจากพลเมืองดีว่า หนึ่งในคนร้ายพักอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง จึงนำกำลังรุดเข้าจับกุมนายอภิธัญญ์ ได้บริเวณย่านซอยอนามัยงามเจริญ บางขุนเทียน กทม. ก่อนขยายผลจับกุมนายสรกฤษ ได้บริเวณปากซอยสุขสวัสดิ์ 53 ย่านพระประแดง จ.สมุทรปราการ พร้อมของกลางดังกล่าว
สอบสวนนายสรกฤช ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างทำความสะอาด ให้กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนวิทยุ ซึ่งรับจ้างแบบรายวันก่อนจะตกงาน รวมทั้งยังมีหนี้สินนอกระบบหลายแห่ง จนมีหนี้สินกระทั่งขัดสนเรื่องการเงินอยู่ตลอดเวลาส่วนนายอภิธัญญ์ ประกอบอาชีพเป็นคนขับรถสองแถวย่านฝั่งธน ซึ่งมีหนี้สินจากการยืมแขกชาวอินเดีย จนต้องหาเงินส่งวันละ 600-800 บาท จนมีหนี้ท่วมจำนวนกว่า 2 แสนบาท ซึ่งตนรู้จักกับนายอภิธัญญ์ ตอนกู้ยืมเงินนอกระบบร้อยละ 10-15 ตามแหล่งต่างๆ จนมีหนี้ล้นมือทั้งคู่เลยชวนกันหาเงินแบบทางลัด เพื่อมาชดใช้หนี้สินต่างๆ
นายสรกฤช ให้การต่อว่า ประกอบกับตนเคยทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคารดังกล่าวและไม่เห็นว่า มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงวางแผนร่วมกัน เพื่อฉกเงินโดยใช้เวลากว่า 3 วัน ก่อนเข้าไปก่อเหตุดังกล่าว
ด้านพล.ต.อ.เรืองศักดิ์ เปิดเผยว่า หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสานทางผู้ประกอบการธนาคารทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับมาตรการในการป้องกันเหตุร้าย ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เพื่อป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรมในลักษณะนี้ ให้ลดน้อยลงรวมทั้งร้านค้าทองอีกด้วย โดยจะเน้นย้ำให้ติดตั้งกล้องซีซีทีวีระยะที่สอง พร้อมเปิดไฟส่องสว่าง นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตั้งด่านตรวจ และฝ่ายสืบสวนต้องเพิ่มความเข้มงวดในการหาแหล่งข่าวในพื้นเขตพื้นที่รับผิด ชอบนั้นๆ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากภาคประชาชนให้ช่วยกันสอดส่องดูแลความสงบ ส่วนกรณีเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบนั้น หลังจากนี้จะมีการหารือว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขอย่างไรต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า ทางเจ้าหน้าที่สามารถติดตามเงินสดกลับคืนมาได้เพียง จำนวน 219,000 บาทเท่านั้น โดยเงินส่วนที่เหลือคนร้ายอ้างว่า ได้นำไปใช้หนี้นอกระบบที่ได้กู้ยืมมา ก่อนจะมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะขยายผลติดตามนำเงินส่วนที่เหลือกลับคืนมา สำหรับที่ทั้งคู่ได้นั่งรถแท็กซี่ไปลงอาบอบนวดดังกล่าว เพื่อต้องการฉลองที่สามารถทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้เที่ยวเนื่องจากหนึ่งในคนร้ายรู้สึกวิตกกังวล จึงคิดแบ่งเงินกันก่อนแยกย้ายกันหลบหนีไป
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา “ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์หรือรับของโจร” ก่อนนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ พร้อมทั้งส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป