เมื่อวันที่ 13 พ.ค. นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวถึงกรณีที่นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ในการปลดคณะกรรมการแพทยสภา เนื่องจากเป็นกลุ่มอำนาจเดิม มีผลประโยชน์ทับซ้อน ปล่อยให้เจ้าของโรงพยาบาลเอกชน
มานั่งหัวโต๊ะพิจารณาคดีที่โรงพยาบาลตัวเองเป็นคู่กรณีกับผู้ป่วย ว่า เรื่องนี้ถือเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงมาก ตามกฎของแพทยสภาจะห้ามไม่ให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียนั่งอยู่ในห้องพิจารณาเรื่องร้องเรียน และเมื่อดูที่สัดส่วนของคณะกรรมการแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะในจำนวนคณะกรรมการแพทยสภาทั้ง 56 คน นั้นมีสัดส่วนโรงพยาบาลเอกชนเพียง 6 คน อีกทั้ง 5 ใน 6 คนนี้ยังเป็นข้าราชการเกษียณแล้ว จึงออกไปอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเรื่องนี้ทางแพทยสภาอาจจะต้องมีการหารือกันว่าจะดำเนินการอะไรเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของแพทยสภา และของแพทย์หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีการโจมตีเช่นนี้มาตลอด แต่ก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ “แพทยสภายังไงก็ต้องยืนตามหลักเหตุผล ไม่ต้องไปเอาใจใคร ไม่เกี่ยวเลยว่าแพทยสภาจะดูแลหมอ ปกป้องหมอเกินไปโดยไม่ปกป้องประชาชน ผมสาบาน ขอยืนยันว่าผมเข้ามาทำงานเพื่อคุ้มครองประชาชนและคุ้มครองแพทย์ไปด้วยกันอย่างสมดุล ผมเป็นข้าราชการและอาสามาทำงาน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้พูดความจริงกันดีกว่า” นพ.สัมพันธ์ กล่าว เลขาธิการแพทยสภา กล่าวอีกว่า ส่วนข้อเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการกลางควบคุมค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนนั้น ส่วนตัวเห็นว่าการควบคุมราคานั้นเป็นไปได้ยาก เพราะโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีต้นทุนที่แตกต่างกัน อีกทั้งในการรักษาโรคเดียวกัน ยังมีความแตกต่างกันมาก เช่น ผ่าตัดไส้ติ่ง บางคนเป็นเพียงไส้ติ่งอักเสบอย่างเดียว แต่บางคนมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย การวินิจฉัยรักษาย่อมแตกต่างกัน แต่ตรงนี้จะต้องมีการแจ้งราคาให้กับประชาชนได้ทราบ และมีส่วนในการตัดสินใจที่จะรักษาหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังเห็นด้วยว่าต้องตรวจสอบไม่ให้มีการโกงค่ายา การคิดราคามั่วๆ ไม่สมเหตุผล ต้องไม่มี จะคิดราคาเท่าไหร่ต้องบอกคนไข้ก่อนเพื่อให้ตัดสินใจ ประเด็นอยู่ที่ว่าคนไข้ได้รับรู้หรือไม่ มีส่วนในการตัดสินใจหรือไม่ เรื่องนี้โรงพยาบาลเอกชนต้องชี้แจง หรือสมาคมโรงพยาบาลเอกชนต้องมากำกับควบคุมให้มากขึ้น.
ทีมา => http://www.dailynews.co.th/politics/321014